สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เดาว่าจขกท เรียนหลักสูตร thesis ก็ต้องไปดูว่าคนที่เรียน UK เขาเรียนแค่ coursework หรือทำ thesis ไปด้วย
ไม่งั้นคงเปรียบเทียบกันไม่ได้
จากปสก.เรียนโทที่ไทยมหาลัยชื่อดังแถวสามย่านแล้วก็ป.เอก 2 ปีก่อนลาออกไปเรียนต่อเอกที่อเมริกา,
ที่อเมริกาถ้าเก่งจริงจะรู้สึกว่าง่ายเพราะเรื่องจุกจิกน้อย ระบบอะไรดีอยู่แล้ว เราแค่เข้าไป fit-in ในระบบแล้วทำหน้าที่ของเราไป (ปั่นงานวิจัย)
พนักงาน, เจ้าหน้าที่และ facility มีพร้อมอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปดิ้นรนพวกนี้มาก
ที่นั่นค่อนข้างยืดหยุ่น ตราบใดที่ไม่ผิดกฏร้ายแรงหรืออ. ที่ปรึกษาไม่เห็นด้วย ชีวิตก็ชิว ๆ ไปหนักแค่งานวิจัยตัวเอง
ถ้าจะมีอะไรที่หนักกว่าไทยก็คือความคาดหวังในคุณภาพงานวิจัยมากกว่ามหาลัยที่ไทยเยอะ
advisor ที่อเมริกาจะไม่ค่อยมา train หรือคอย babysit เราเพราะปฏิบัติกับเราแบบผู้ใหญ่และไม่ค่อยมีเวลา
ซึ่งตรงนี้ดูจะเป็นปัญหาใหญ่สุดของนักเรียนไทยที่มาเรียนอเมริกาเพราะเคยชินกับการถูก babysit มาตั้งแต่อนุบาลยันป.โทสำหรับบางคน
ถ้าเข้าใจตรงนี้หรือชอบสไตล์นี้จะรู้สึกดีเพราะชีวิตมีอิสระไม่โดน micro-management แบบที่ไทย ไม่งั้นอาจจะชอบสไตล์ไทยมากกว่า
ของไทยขนาดส่ง journal ที่มหาลัยตัวเองจัดเองยังมาใช้จบป.เอก ในขณะที่เรียนที่อเมริกา advisor บอกมาแต่ละชื่อมีแต่ Q1 journal
อีกข้อคือค่ากินอยู่ ทุกคนที่เรียนอเมริกาถ้าไม่ได้ทุนจากไทยแบบไม่จำกัดเวลาหรือรวยจริงก็จะรีบจบกันหมดไม่งั้นหนี้ยาว
ส่วนไทยความคาดหวังในคุณภาพต่ำกว่าแต่บรรยากาศรอบตัวมันไม่ช่วยให้กระตือรือร้นแบบอเมริกาเท่าไหร่
ที่เห็นคือทุกคนหวัง 1 journal ที่ไหนก็ได้เพื่อให้จบเอกแล้วก็แค่นั้น
ส่วนอ. ไทยก็จะมองอะไรเป็น KPI มากกว่าคุณภาพ ขอให้ได้ kpi สูง ๆ จำนวนงานเยอะแบบชั่งกิโลขาย คุณภาพไว้ทีหลัง
จะทำอะไรก็ติดระบบระเบียบไปหมดแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ๆ ง่าย ๆ ก็ต้องยึดตามตัวอักษรทุกระเบียบนิ้ว
พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ก็ไม่ค่อยเต็มใจช่วยซักเท่าไหร่ เรื่องจุกจิกจะคอยรบกวนไม่ให้เราทำวิจัยได้เต็มที่
ที่หนักใจคือเรื่องการเมืองกับอ. ที่ปรึกษาที่ถ้าเกิดว่าดวงแตกขึ้นมาอาจจะต้องเสียเวลาทำงานวิจัยไปช่วยคนนู้นคนนี้โดยเลี่ยงไม่ได้
ส่วนข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกันคือค่ากินอยู่ถูก อาจจะเป็นสาเหตุให้คนจบช้ากว่า
อีกข้อที่สังเกตุคือของไทยทีมเวิร์คไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ประสานงานทีไรจะกลายเป็นประสานงาทุกรอบไป
สรุป ถ้าคุณเก่งอยู่แล้วไปอเมริกาหรือต่างประเทศ ระบบที่นั่นจะส่งเสริมให้คุณทำงานง่ายขึ้นและอาจจะจบไวขึ้น
แต่ถ้าคุณแย่เขาก็ไล่คุณออกตั้งแต่ปีแรกเลยเช่นกัน ไม่เก็บไว้ให้เปลือง resource กับ reputation เขา
ส่วนไทยจะเลี้ยงไข้ไว้ ป.เอกบางคน 11 ปียังไม่จบและไม่โดนไทร์ อ.ก็จะคอย babysit คุณมากกว่า
ไม่งั้นคงเปรียบเทียบกันไม่ได้
จากปสก.เรียนโทที่ไทยมหาลัยชื่อดังแถวสามย่านแล้วก็ป.เอก 2 ปีก่อนลาออกไปเรียนต่อเอกที่อเมริกา,
ที่อเมริกาถ้าเก่งจริงจะรู้สึกว่าง่ายเพราะเรื่องจุกจิกน้อย ระบบอะไรดีอยู่แล้ว เราแค่เข้าไป fit-in ในระบบแล้วทำหน้าที่ของเราไป (ปั่นงานวิจัย)
พนักงาน, เจ้าหน้าที่และ facility มีพร้อมอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปดิ้นรนพวกนี้มาก
ที่นั่นค่อนข้างยืดหยุ่น ตราบใดที่ไม่ผิดกฏร้ายแรงหรืออ. ที่ปรึกษาไม่เห็นด้วย ชีวิตก็ชิว ๆ ไปหนักแค่งานวิจัยตัวเอง
ถ้าจะมีอะไรที่หนักกว่าไทยก็คือความคาดหวังในคุณภาพงานวิจัยมากกว่ามหาลัยที่ไทยเยอะ
advisor ที่อเมริกาจะไม่ค่อยมา train หรือคอย babysit เราเพราะปฏิบัติกับเราแบบผู้ใหญ่และไม่ค่อยมีเวลา
ซึ่งตรงนี้ดูจะเป็นปัญหาใหญ่สุดของนักเรียนไทยที่มาเรียนอเมริกาเพราะเคยชินกับการถูก babysit มาตั้งแต่อนุบาลยันป.โทสำหรับบางคน
ถ้าเข้าใจตรงนี้หรือชอบสไตล์นี้จะรู้สึกดีเพราะชีวิตมีอิสระไม่โดน micro-management แบบที่ไทย ไม่งั้นอาจจะชอบสไตล์ไทยมากกว่า
ของไทยขนาดส่ง journal ที่มหาลัยตัวเองจัดเองยังมาใช้จบป.เอก ในขณะที่เรียนที่อเมริกา advisor บอกมาแต่ละชื่อมีแต่ Q1 journal
อีกข้อคือค่ากินอยู่ ทุกคนที่เรียนอเมริกาถ้าไม่ได้ทุนจากไทยแบบไม่จำกัดเวลาหรือรวยจริงก็จะรีบจบกันหมดไม่งั้นหนี้ยาว
ส่วนไทยความคาดหวังในคุณภาพต่ำกว่าแต่บรรยากาศรอบตัวมันไม่ช่วยให้กระตือรือร้นแบบอเมริกาเท่าไหร่
ที่เห็นคือทุกคนหวัง 1 journal ที่ไหนก็ได้เพื่อให้จบเอกแล้วก็แค่นั้น
ส่วนอ. ไทยก็จะมองอะไรเป็น KPI มากกว่าคุณภาพ ขอให้ได้ kpi สูง ๆ จำนวนงานเยอะแบบชั่งกิโลขาย คุณภาพไว้ทีหลัง
จะทำอะไรก็ติดระบบระเบียบไปหมดแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ๆ ง่าย ๆ ก็ต้องยึดตามตัวอักษรทุกระเบียบนิ้ว
พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ก็ไม่ค่อยเต็มใจช่วยซักเท่าไหร่ เรื่องจุกจิกจะคอยรบกวนไม่ให้เราทำวิจัยได้เต็มที่
ที่หนักใจคือเรื่องการเมืองกับอ. ที่ปรึกษาที่ถ้าเกิดว่าดวงแตกขึ้นมาอาจจะต้องเสียเวลาทำงานวิจัยไปช่วยคนนู้นคนนี้โดยเลี่ยงไม่ได้
ส่วนข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกันคือค่ากินอยู่ถูก อาจจะเป็นสาเหตุให้คนจบช้ากว่า
อีกข้อที่สังเกตุคือของไทยทีมเวิร์คไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ประสานงานทีไรจะกลายเป็นประสานงาทุกรอบไป
สรุป ถ้าคุณเก่งอยู่แล้วไปอเมริกาหรือต่างประเทศ ระบบที่นั่นจะส่งเสริมให้คุณทำงานง่ายขึ้นและอาจจะจบไวขึ้น
แต่ถ้าคุณแย่เขาก็ไล่คุณออกตั้งแต่ปีแรกเลยเช่นกัน ไม่เก็บไว้ให้เปลือง resource กับ reputation เขา
ส่วนไทยจะเลี้ยงไข้ไว้ ป.เอกบางคน 11 ปียังไม่จบและไม่โดนไทร์ อ.ก็จะคอย babysit คุณมากกว่า
แสดงความคิดเห็น
ทำไมการเรียนต่อป.โท ทางด้านบริหารที่ UK มันง่ายมากเลยเหรอค่ะ
คืออ่านจากหลายๆกระทู้ก็มีคำถามแนวนี้เยอะอยู่ แต่อ่านๆไปก็มีทั้งบอกว่าดีและไม่ดี
เราเลยอยากถามแบบจริงจังแบบไม่ค้องตอบเสียดสีนะคะ
ว่าการเรียน ป.โท ทางด้านบริหาร โดยเฉพาะด้านการเงิน ที่UK นี่มันง่ายมากเลยใช่ไหมค่ะ
ในFacebook เราเพื่อนแต่ละคนนี่คือ เดี่ยวก็ไปเที่ยวต่างประเทศ (นอกUK) คือเรานี่เรียนอยู่ในไทยค่ะ
ปั่นวิทยานิพนธ์ ทีนี่ไม่ต้องทำอะไร แต่เพื่อนนี่คือ เอาดิสเซอร์ไปเขียนที่สวิสมองดูวิวงี้
ที่ไทยเรียน 2 ปี บางคนก็ไม่จบ แต่คนที่เรียนอังกฤษนี่เรียนก็จบทุกคนใช่ไหมค่ะ
แล้วพวกที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยแบบที่ไม่ใช่ Oxford,Warwick หรือมหาลัยดังๆนี่คือจ่ายครบจบแน่ใช่ไหม
เพราะเห็นมีเพื่อนไปเรียน ที่ U of Aberdeen ,U of Strachclyde , U of leed คือ เดี่ยวก็ปาร์ตี้ เดี่ยวก้อเที่ยว
แบบนี้จบมาแล้วจะมีคุณภาพไหมค่ะ
อังกฤษเป็นประเทศที่มีมาตรฐานการศึกษาสูง แต่ถ้ายังปล่อยนักศึกษาต่างชาติเรียนจบง่ายๆแบบนี้ เขาไม่กลัวชื่อเสียงเสียหายเหรอค่ะ